จะเกิดอะไรขึ้น? หากความหนาหลังคาเมทัลชีทบางเกินไป
- Sangthai Metalsheet

- 25 ต.ค.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 27 ต.ค.

หลายคน อาจเคยคิดว่าการประหยัดเงินด้วยการเลือกวัสดุก่อสร้างอย่างแผ่นเมทัลชีทที่ "บางกว่า" ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยประหยัดงบประมาณได้ดีที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่า การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับ "ความหนาหลังคาเมทัลชีท" อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ตกในระยะยาวได้
บทความนี้ แสงไทยเมทัลชีท ได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ จะเกิดอะไรขึ้น? หากคุณเลือกความหนาหลังคาเมทัลชีทบางเกินไป มาฝากกัน
ความหนาหลังคาเมทัลชีท คืออะไร?

ความหนาหลังคาเมทัลชีท คือการวัดความหนาของแผ่นเมทัลชีทในหน่วยมิลลิเมตร (มม.) ซึ่งมักจะมีหลายขนาดตั้งแต่ 0.25 มม. ถึง 0.47 มม. ขึ้นไป โดยเมทัลชีทที่มีความหนามากจะมีความแข็งแรงและทนทานมากกว่าช่วยรองรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดีกว่า
ซึ่งการเลือกความหนาของวัสดุมุงหลังคา จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะแป (Purlin Spacing), ความต้องการในการป้องกันเสียงและความร้อน, การใช้งานในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแตกต่างกัน และอายุการใช้งานของอาคารที่ต้องกัน
ทำไมเจ้าของอาคาร ควรให้ความสำคัญ "ความหนาหลังคาเมทัลชีท"?

การเลือก ความหนาหลังคาเมทัลชีท และ เกรดเหล็กเมทัลชีท ถือเป็นการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อทั้ง การใช้งานระยะยาว และ ประสิทธิภาพของอาคาร ไม่ว่าจะเป็น บ้านพักอาศัย หรือ อาคารเชิงพาณิชย์
ซึ่งเจ้าของทั้งสองประเภทควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะความหนาของหลังคาเมทัลชีทมีผลต่อหลายปัจจัยที่สำคัญ เช่น
1. ความแข็งแรงและทนทาน
เพราะหลังคาที่บางเกินไป จะไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี ซึ่งอาจทำให้แผ่นเหล็กเกิด การแอ่นตัว หรือ เสียรูปทรง ได้ง่ายเมื่อเจอกับแรงลม หรือแรงกดจากหิมะหรือฝนที่ตกหนัก
ดังนั้น การเลือกแผ่นเมทัลชีทที่มีความหนาเหมาะสม จะช่วยเพิ่มความ แข็งแรง และ ทนทาน ซึ่งจะทำให้อาคารปลอดภัยจากการเกิดความเสียหายจากสภาพอากาศ
สำหรับเจ้าของบ้าน หากเลือกใช้เมทัลชีทที่บางเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาการรั่วซึมและการบำรุงรักษาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลมแรงหรือมีฝนตกหนัก
สำหรับเจ้าของธุรกิจ การเลือกความหนาที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงของการเสียหายต่อสินค้าหรือเครื่องจักรในอาคาร เช่น คลังสินค้า
2. ป้องกันการรั่วซึม
เมทัลชีทที่บางเกินไปมักจะมี ความยืดหยุ่น สูง ซึ่งทำให้ไม่สามารถรับแรงกดหรือแรงกระแทกได้ดี เมื่อมีการบิดตัวหรือบุบตัว จึงทำให้เกิด รอยรั่วซึม หรือการเสียหายที่ไม่สามารถป้องกันได้ดี ทำให้เกิดปัญหาภายในบ้านหรือธุรกิจ
3. ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
หลายคนมักมองว่าการเลือกเมทัลชีทที่บางจะช่วย ประหยัดต้นทุน ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ ซ่อมแซม หรือ เปลี่ยนหลังคาใหม่ ซึ่งอาจมีราคาสูงกว่า ดังนั้น การเลือกใช้เมทัลชีทที่มีความหนาที่เหมาะสมจะช่วยลดความจำเป็นในการซ่อมแซมในอนาคต
4. ช่วยป้องกันเสียงรบกวน
การเลือกแผ่นเมทัลชีทที่บางเกินไปจะทำให้เกิด เมทัลชีทเสียงดัง จากการสัมผัสกับลม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลมแรง เสียงจากหลังคาอาจสร้างความ รำคาญ ให้กับผู้อยู่อาศัยหรือพนักงานในธุรกิจ ซึ่งการเลือกความหนาที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
5. ความเหมาะสมกับการติดตั้งฉนวนกันความร้อน
หลังคาที่บางจะไม่สามารถรองรับการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บ้านหรืออาคารร้อนขึ้นและค่าไฟสูงขึ้นจากการใช้เครื่องปรับอากาศมากขึ้น
6. การป้องกันจากสภาพอากาศและความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
ในบางพื้นที่ หรือสถานที่มีสภาพอากาศรุนแรงอันเกิดจากภัยธรรมชาติบ่อย ๆ เช่น พายุหิมะ หรือลูกเห็บ การเลือกเมทัลชีทที่หนาจะช่วยเพิ่ม ความทนทาน ต่อการ กระแทก หรือการ แตกหัก จากการตกของลูกเห็บหรือวัตถุที่ลอยมากับลม
หากเลือก “ความหนาหลังคาเมทัลชีท” บางเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น

การประหยัดต้นทุนด้วยการเลือกเมทัลชีทที่บางกว่ามาตรฐานที่แนะนำ เช่น น้อยกว่า 0.35 มม. สำหรับหลังคาบ้าน หรืออาคารที่มีระยะแปห่าง จะส่งผลกระทบต่าง ๆ ตามมา ได้แก่
1. หลังคาแอ่นตัวและเสียรูปทรงอย่างถาวร (Sagging)
แผ่นเมทัลชีทที่บางจะขาดความแข็งแกร่งในการรับน้ำหนักตัวเองและแรงภายนอก ซึ่งหาก ระยะแป ถูกวางห่างเกินไปตามมาตรฐานของแผ่นที่หนากว่า หลังคาจะเริ่มแอ่นตัวลงระหว่างแปและเสียรูปทรงได้
ผลกระทบระยะยาว: การแอ่นตัวทำให้เกิดแอ่งน้ำขังบนหลังคา ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำรั่วซึมตามมาในที่สุด และทำให้หลังคาดูไม่สวยงาม ขาดความน่าเชื่อถือทางโครงสร้าง
2. ส่งเสียงดังรบกวนง่ายกว่าปกติ
แผ่นเมทัลชีทที่บาง มักจะมีความยืดหยุ่นสูงกว่าและมีน้ำหนักเบา ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อปะทะกับลมแรงหรือฝนตกหนัก
ผลกระทบระยะยาว: เสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจสร้างความรำคาญอย่างมากต่อผู้อยู่อาศัย และทำให้คุณภาพชีวิตภายในบ้านลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางกรณีจำเป็นต้องติดตั้งแผ่นซับเสียงเพิ่มเติม ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายภายหลัง
3. ไม่ทนทานต่อแรงกระแทกจากภายนอก
ความหนาที่ต่างกันเพียง 0.1 มม. ส่งผลต่อความสามารถในการรับแรงกระแทกได้มาก หากมีกิ่งไม้ร่วงใส่ หรือลูกเห็บขนาดใหญ่ แผ่นหลังคาที่บางเกินไปจะเกิด รอยบุบ หรือ ทะลุ ได้ง่าย
ผลกระทบระยะยาว: เมื่อเกิดการบุบหรือทะลุ จะเกิดความเสียหายต่อชั้นเคลือบป้องกันสนิมทันที ทำให้บริเวณนั้นเกิดสนิมกัดกร่อนได้ง่ายและรวดเร็ว นำไปสู่การซ่อมแซมที่ไม่คาดคิด
4. อายุการใช้งานสั้นลงและเกิดสนิมเร็วกว่ากำหนด
ความเสียหายจากรอยบุบหรือรอยขีดข่วน จากการติดตั้งหรือใช้งาน บนแผ่นที่บางกว่า จะทำให้ ชั้นเคลือบผิว (Coating) ที่ช่วยป้องกันการเกิดสนิมหลุดล่อนได้ง่ายและเร็วกว่าแผ่นที่หนา
ผลกระทบระยะยาว: เมื่อชั้นเคลือบเสียหาย ผิวเหล็กด้านในจะสัมผัสกับความชื้นและอากาศโดยตรง ส่งผลให้เกิดสนิมและการกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว ทำให้อายุการใช้งานของหลังคาสั้นลงกว่าที่ผู้ผลิตรับประกันไว้
5. ข้อจำกัดในการติดตั้งฉนวนกันความร้อน
ฉนวนกันความร้อนบางชนิด เช่น PU Foam ที่มีความหนาแน่นสูง หรือฉนวนใยแก้ว อาจมีน้ำหนัก หรือแรงดันที่ต้องอาศัยฐานรองรับที่แข็งแรง ซึ่งการเลือกความหนาเมทัลชีทที่เหมาะสม จะช่วยให้การติดตั้งร่วมกับพียูโฟมเป็นไปอย่างราบรื่น
ผลกระทบระยะยาว: หลังคาที่บางเกินไปอาจไม่สามารถรองรับน้ำหนักของฉนวนกันความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้จำกัดตัวเลือกในการลดความร้อนภายในบ้าน และส่งผลให้อุณหภูมิภายในอาคารสูงกว่าปกติ เพราะต้องเปิดเครื่องปรับอากาศมากขึ้น และจ่ายค่าไฟสูงขึ้นในระยะยาว
เลือกความหนาเมทัลชีทอย่างไรให้เหมาะสมกับอาคาร?

การเลือกความหนาหลังคาเมทัลชีทให้เหมาะสมกับอาคาร เจ้าของบ้าน หรือ เจ้าของอาคารควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
ระยะแป (Purlin Spacing)
ถ้า ระยะแปห่าง เช่น เกิน 1.2 เมตร ควรเลือกแผ่นที่มีความหนา 0.40 มม. ขึ้นไป
สำหรับ หลังคาบ้านพักอาศัย ทั่วไป และระยะแปไม่เกิน 1.0 - 1.2 เมตร ควรเลือกความหนา 0.35 - 0.40 มม. เป็นอย่างต่ำ
หากเน้นความแข็งแรงสูงสุดและต้องการการรับประกันที่ยาวนาน แนะนำ 0.47 มม. ขึ้นไป โดยเฉพาะอาคารขนาดใหญ่ หรือโกดัง
ความหนาที่น้อยกว่า 0.35 มม. ควรใช้กับงานที่ไม่ใช่หลังคาหลัก เช่น รั้ว, ผนัง, หรือกันสาดขนาดเล็กที่มีระยะแปถี่มาก
สภาพแวดล้อม
บ้านที่อยู่ใกล้ทะเล หรือพื้นที่ที่ลมแรง ควรเลือกความหนาที่มากขึ้นเพื่อต้านทานแรงลมและป้องกันสนิม
ความคุ้มค่าระยะยาว
ค่าแรงในการติดตั้งแผ่นเมทัลชีทความหนา 0.35 มม. กับ 0.47 มม. นั้นแทบไม่ต่างกัน การลงทุนเพิ่มขึ้นในส่วนของวัสดุที่หนาตั้งแต่ต้น จะช่วยลดความเสี่ยงในการซ่อมแซมและยืดอายุการใช้งานหลังคาได้หลายปี ซึ่งเป็นการประหยัดเงินที่แท้จริง
คำถามพบบ่อย เกี่ยวกับ ความหนาหลังคาเมทัลชีท
Q: ความหนาหลังคาเมทัลชีท สำหรับบ้าน ควรอยู่ที่เท่าไหร่?
A: โดยทั่วไปสำหรับหลังคาบ้านพักอาศัยที่มีระยะแปห่างตามมาตรฐาน (ประมาณ 1.0 - 1.2 เมตร) ควรเลือกความหนาที่ 0.35 มม. ถึง 0.47 มม. ยิ่งหนามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทนทานและลดปัญหาการแอ่นตัวได้ดีขึ้นเท่านั้น
Q: เมทัลชีท 0.30 มม. ใช้ทำหลังคาได้หรือไม่?
A: สามารถทำได้ในพื้นที่ขนาดเล็ก หรือโรงจอดรถชั่วคราว แต่ต้องควบคุมระยะแปให้ถี่ (ไม่เกิน 1 เมตร) และต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องเสียงดังและความทนทานต่อแรงกระแทกที่ต่ำลงมาก
Q: ความหนาหลังคาเมทัลชีทบางแต่เคลือบกันสนิมดี ยังถือว่าทนไหม?
A: การเคลือบกันสนิมช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถชดเชยความบางของแผ่นได้ทั้งหมด เพราะแผ่นบางจะบุบง่าย และเมื่อเกิดรอยบุบหรือขีดข่วน ชั้นเคลือบจะหลุดง่ายกว่า ทำให้เกิดสนิมเร็วขึ้นในระยะยาว
สรุป
การเลือกความหนาของหลังคาเมทัลชีทที่ผิดพลาด อาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงกว่าราคาที่ประหยัดได้ในตอนแรกอย่างมหาศาล ดังนั้น การตัดสินใจเลือกความหนาที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงการเลือกวัสดุ แต่เป็นการลงทุนใน ความแข็งแรง ความทนทาน และความสบายใจ ของบ้านในระยะยาว
ที่มา
ความหนาเมทัลชีท ใช้งานอย่างไรต่างกันอย่างไร ? จาก Onestockhome
What Does Thickness Mean for Your Roof? จาก Green Metal
หากคุณอ่านคอนเทนต์ “จะเกิดอะไรขึ้น หากคุณเลือกความหนาหลังคาเมทัลชีทบางเกินไป” แล้วรู้สึกชอบคอนเทนต์ของเราอย่าลืมกดติดตามคอนเทนต์ของเราดี ๆ ได้ที่
Facebook : Sangthai Metalsheet
สุดท้าย หากคุณกำลังมองหาเมทัลชีทเพื่อต่อเติมโรงงาน หรือ พัฒนาโปรเจกต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างอาคารด้วยเมทัลชีท
LINE: @sangthaigroup หรือ https://lin.ee/wF4jScw
Call Center: 02-0249297
Website แสงไทยเมทัลชีท: https://www.sangthaimetalsheet.com
ดูสินค้าเมทัลชีท (Metalsheet) ทั้งหมด : https://www.sangthaimetalsheet.com/product






ความคิดเห็น